ในโลกธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยความรวดเร็วและแม่นยำ “อุตสาหกรรมการแพทย์” ถือเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่ไม่สามารถมีข้อผิดพลาดได้แม้เพียงเล็กน้อย การส่งมอบเวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ หรือวัตถุดิบที่เกี่ยวข้อง ล้วนต้องดำเนินการด้วยความถูกต้อง ทันเวลา และมีความโปร่งใส ซึ่งทั้งหมดนี้คือหัวใจสำคัญของ Supply Chain Management
บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกว่า องค์กรในอุตสาหกรรมการแพทย์ควรบริหารจัดการ Supply Chain อย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
Table of Contents : เลือกอ่านเฉพาะหัวข้อที่สนใจได้ตรงนี้เลย
ความสำคัญของ Supply Chain ในอุตสาหกรรมการแพทย์
กระบวนการบริหารซัพพลายเชน (Supply Chain) มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการแพทย์ (Healthcare) ที่เป้าหมายหลักขององค์กรส่วนใหญ่คือ การทำกำไรและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป้าหมายเหล่านี้ จะไม่สามารถบรรลุได้หากปราศจากการบริหารซัพพลายเชน (Supply Chain) ที่ดี
ในอุตสาหกรรมการแพทย์ที่ซัพพลายเชน (Supply Chain) ส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยโดยตรง ทั้งในด้านคุณภาพการรักษา ความรวดเร็ว และค่าใช้จ่าย การบริหารซัพพลายเชน (Supply Chain) ในอุตสาหกรรมการแพทย์จึงไม่ใช่แค่การจัดซื้อหรือกระจายสินค้าเท่านั้น แต่คือการวางกลยุทธ์และระบบที่รองรับความเปลี่ยนแปลง ควบคุมความเสี่ยง และตอบสนองความต้องการได้อย่างแม่นยำ เปรียบเสมือนก้าวแรกที่นำไปสู่ความสำเร็จขององค์กรอย่างยั่งยืน
องค์ประกอบหลักของ Supply Chain ในอุตสาหกรรมการแพทย์
อุตสาหกรรมการแพทย์ประกอบด้วยธุรกิจหรือองค์กรหลากหลายประเภท เช่น โรงพยาบาล คลินิก ร้านขายยา ธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์การแพทย์ สถานพยาบาล และสถาบันวิจัยต่าง ๆ ซึ่งองค์กรที่พบส่วนใหญ่ จะแบ่งระบบการทำงานออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่
- ส่วนหน้าบ้าน (Front end)
- ส่วนหลังบ้าน (Back end)
1. ส่วนหน้าบ้าน (Front end)
ส่วนหน้าบ้าน (Front end) คือ ส่วนหรือแผนกที่ติดต่อกับลูกค้าโดยตรง เช่น ส่วนของการขาย (Sales), การขายหน้าร้าน (Point of Sale: POS) และการบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (Customer Relationship Management: CRM) เป็นต้น
2. ส่วนหลังบ้าน (Back end)
ส่วนหลังบ้าน (Back end) คือ ส่วนหรือแผนกที่บริหารจัดการข้อมูลขององค์กร และมีการติดต่อกับลูกค้าทางอ้อม เช่น การบริหารคลังสินค้า (Inventory), บัญชี (Accounting), จัดซื้อหรือจัดจ้าง (Purchase) และการผลิต (Manufacturing) เป็นต้น
การพัฒนาทั้งส่วนหน้าบ้าน (Front-end) และส่วนหลังบ้าน (Back-end) ของระบบซัพพลายเชน (Supply Chain) ถือเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้องค์กรหรือบริษัทสามารถเข้าใกล้เป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และแม่นยำยิ่งขึ้น ในยุคที่เทคโนโลยีมีบทบาทอย่างลึกซึ้ง ทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ต่างได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จึงกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตและความยั่งยืนของธุรกิจ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยเฉพาะในระบบซัพพลายเชน (Supply Chain) ที่ต้องอาศัยความเชื่อมโยงของข้อมูล การประสานงาน และการตัดสินใจที่รวดเร็ว เทคโนโลยีจึงไม่ใช่เพียงเครื่องมือ แต่เป็นกลยุทธ์ที่องค์กรไม่อาจมองข้าม
ปัจจัยที่มีผลต่อการบริหาร Supply Chain ให้มีประสิทธิภาพ
การบริหาร Supply Chain ให้มีประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ซึ่งแต่ละปัจจัยส่งผลต่อ Supply Chain ที่แตกต่างกัน โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่
- ปัจจัยภายในองค์กร (Internal Environment)
- ปัจจัยภายนอกองค์กร (External Environment)
1. ปัจจัยภายในองค์กร (Internal Environment)
บุคลากร (Personnel)
บุคลากรเป็นปัจจัยสำคัญในการบริหาร Supply Chain เนื่องจากจุดเริ่มต้นของกลยุทธ์และการวางแผนกระบวนการทำงานล้วนมาจากบุคลากรทั้งสิ้น ซึ่งส่งผลต่อการบริหาร Supply Chain เป็นอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น การจัดการคิวของผู้ป่วย (Queue Management) ในแต่ละโรงพยาบาลจะมีการจัดการที่แตกต่างกัน ทำให้ความพึงพอใจของผู้ป่วยแตกต่างกันไปด้วย
เทคโนโลยี (Technology)
เทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มมูลค่า (Add Value) ให้กับการบริหาร Supply Chain ขององค์กร ทั้งในด้านประสิทธิภาพของความรวดเร็ว และความสะดวกสบาย ตัวอย่างของเทคโนโลยีที่องค์กรนำมาใช้เพื่อพัฒนา Supply Chain ทั้งส่วนหน้าบ้านและส่วนหลังบ้าน ได้แก่ ระบบ ERP, ระบบ CRM, Robotic และ AI เป็นต้น
2. ปัจจัยภายนอกองค์กร (External Environment)
การเมือง (Politics)
การเมืองส่งผลต่อการบริหาร Supply Chain ในด้านนโยบายของภาครัฐ หรือการสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น นโยบายการบริหารประเทศในช่วงการระบาดของ Covid-19 ที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการแพทย์โดยตรง
เศรษฐกิจ (Economics)
การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ ส่งผลต่อการปรับเปลี่ยน Supply Chain ขององค์กรที่ต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งในระดับจุลภาคและมหภาค เพื่อให้องค์กรสามารถปรับตัวและอยู่รอดต่อไปได้
สังคม (Social)
ด้านสังคม จะส่งผลต่อการบริหาร Supply Chain ในด้านกลยุทธ์ที่องค์กรตั้งไว้ โดยเฉพาะในส่วนของภาคการตลาดที่ต้องปรับให้สอดคล้องกับสังคมและบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปในยุคสมัย
เทคโนโลยี (Technology)
เทคโนโลยีถือเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหาร Supply Chain ทั้งภายในและภายนอกองค์กร เช่น การคิดค้นนวัตกรรมต่าง ๆ ของบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อนำมาปรับใช้กับองค์กร การนำเข้าเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัย เป็นต้น
สภาพแวดล้อม (Environment)
ในปัจจุบันโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate change ที่เห็นได้ชัดคือ สภาพภูมิอากาศในบางพื้นที่มีอุณหภูมิสูงมากผิดปกติ บางพื้นที่มีฝนไม่ตกตามฤดูกาล หรือแม้กระทั่งค่าฝุ่น PM2.5 ที่เกิดบ่อยมากขึ้น
กฎหมาย (Legal)
กฎหมายหรือกฎระเบียบต่าง ๆ ที่ควบคุมในแต่ละอุตสาหกรรม ซึ่งแต่ละประเทศมีกฎหมายที่แตกต่างกัน การออกแบบ Supply Chain จึงจำเป็นต้องเป็นไปตามกฎหมายหรือกฎระเบียบของประเทศนั้น ๆ
การใช้ระบบ ERP เพื่อจัดการ Supply Chain ของอุตสาหกรรมการแพทย์
ในอุตสาหกรรมการแพทย์ที่ต้องการความแม่นยำ ความปลอดภัย และความรวดเร็วเป็นหัวใจหลัก การบริหารจัดการซัพพลายเชนอย่างมีประสิทธิภาพจึงกลายเป็นภารกิจที่ท้าทาย การนำระบบบริหารจัดการธุรกิจหรือระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) เข้ามาใช้ จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถควบคุมและประสานงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ได้อย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การจัดซื้อวัตถุดิบ การบริหารสต็อก การผลิต การขนส่ง ไปจนถึงการกระจายเวชภัณฑ์ไปยังปลายทางได้อย่างแม่นยำและโปร่งใส
การนำระบบ ERP เข้ามาช่วยบริหารจัดการซัพพลายเชน (Supply Chain) ในอุตสาหกรรมการแพทย์ เป็นการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของกระบวนการทำงาน เช่น ระบบ ERP ที่มีฟีเจอร์การบริหารจัดการด้านบัญชี จะช่วยให้ติดตามรายได้และรายจ่ายของแต่ละแผนกได้ง่ายขึ้น ที่สำคัญคือ ระบบ ERP ช่วยลดความผิดพลาดของกระบวนการทำงานที่เกิดจากความผิดพลาดของมนุษย์ (Human Error) ลดการทำงานที่ซ้ำซ้อน เช่น การชำระหนี้ การควบคุมงบประมาณ และการเสื่อมราคาของสินทรัพย์ เป็นต้น นอกจากนี้ ระบบ ERP ยังช่วยเชื่อมโยงข้อมูลจากส่วนต่าง ๆ ขององค์กรให้สามารถดูภาพรวมได้แบบเรียลไทม์ เพิ่มความสามารถในการวิเคราะห์และวางแผน และเพิ่มความสามารถในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าและหน่วยงานทางการแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งหมดนี้ล้วนช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพการให้บริการ และส่งเสริมให้องค์กรสามารถก้าวสู่ความยั่งยืนได้ในระยะยาว
บทสรุป
ในโลกปัจจุบัน เทคโนโลยีถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ตราบใดที่มนุษย์ยังคงแสวงหาความต้องการที่ไม่สิ้นสุดเพื่อความอยู่รอดในอนาคต เทคโนโลยีก็จะถูกพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ องค์กรไหนที่ไม่ปรับตัวเข้าหาเทคโนโลยีก็จะเสียเปรียบในการแข่งขัน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการแพทย์ที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีส่วนใหญ่ ไม่เพียงแต่เครื่องมือที่ทันสมัยเท่านั้น เทคโนโลยีที่ใช้บริหารกระบวนการทำงานหรือการบริหาร (Supply Chain) ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน และจะเป็นปัจจัยตัดสินใจในการเลือกใช้สินค้าและบริการของลูกค้าในยุคปัจจุบันและอนาคต
การบริหาร Supply Chain ในอุตสาหกรรมการแพทย์ จัดการอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ