ก่อนจะไปรู้จักกับ Odoo Community Edition (CE) เรามาทำความรู้จักกับ Odoo กันก่อน
Odoo เป็นระบบ ERP ที่รวมแอปพลิเคชันต่าง ๆ ทางธุรกิจ ไว้บนแพลตฟอร์มเดียวมากกว่า 40,000 Community App ตั้งแต่ ระบบงานขาย, CRM, eCommerce, ระบบบัญชี, ระบบคลังสินค้า และอีกมากมาย ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในโมเดลการทำงานแบบโอเพ่นซอร์ส (Open-Source) สามารถนำไปใช้หรือพัฒนาต่อยอดได้ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการขับเคลื่อนนวัตกรรม โดยสมาชิก Odoo Community ที่ยังคงมีการใช้งานอยู่กว่า 1,500 ราย แต่ทั้งนี้ Odoo ไม่ได้มีเพียงโอเพ่นซอร์ส แต่ยังมีเวอร์ชัน Enterprise ที่สามารถ Subscription แบบรายเดือนหรือรายปีได้
Odoo Community คืออะไร?
Odoo Community เป็นซอฟต์แวร์เวอร์ชันโอเพ่นซอร์ส (Open Source) ที่ทุกคนสามารถดาวน์โหลดและใช้งานได้ฟรี มีฟีเจอร์หลักและฟังก์ชันการทำงานที่หลากหลาย และทำให้ Developers สามารถร่วมพัฒนาฟีเจอร์การใช้งานต่าง ๆ โดยใช้ภาษา Python ซึ่งเป็นที่นิยมในวงการนักพัฒนา ทำให้เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและสตาร์ตอัปที่มีงบประมาณจำกัด
สำหรับคนที่สนใจใช้ระบบ Odoo มาเป็นตัวช่วยในการบริหารจัดการธุรกิจ อาจเคยได้ยินมาบ้างว่า มีหลายองค์กรที่เลือกใช้ Odoo Community Edition มากกว่าใช้ Odoo Enterprise Edition
แล้วทำไมคนถึงนิยมใช้ Odoo Community Edition วันนี้ Roots จะพาไปดูข้อดีของ Odoo Community Edition เพื่อเป็นตัวเลือกประกอบการตัดสินใจในการเลือก Odoo เวอร์ชันไหนมาใช้งานในองค์กร
10 ข้อดีของ Odoo Community Edition
1. ไม่มีค่า Subscription
Odoo Community เป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส (Open Source) ที่สามารถใช้งานได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายในการใช้งานหรือการดาวน์โหลด การจะเลือกระบบเข้ามาใช้งานในองค์กร ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘ต้นทุน’ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทุกองค์กรต้องคำนึงถึง การเลือกใช้ Odoo Community จึงช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ลดต้นทุนของค่า License ของซอฟต์แวร์ ที่เป็นค่าใช้จ่าย Fixed Cost ที่ต้องจ่ายเป็นประจำทุกปีลง ในระยะเริ่มต้นค่า Subscription อาจดูไม่เป็นปัญหา โดยปกติเมื่อระยะเวลาผ่านไปราคาจะมีการปรับขึ้น และจะกลายมาเป็นค่าใช้จ่ายระยะยาวที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในปัจจุบันมีหลายองค์กรที่เปลี่ยนจาก Software License มาเป็น Open Source Software เพราะต้องการลดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ลง
2. มีความยืดหยุ่น ปรับแต่งได้ตามความต้องการ
จุดเด่นที่ทำให้ Odoo ได้เปรียบคู่แข่งคือคือ มีความยืดหยุ่น สามารถปรับแต่งและขยายฟังก์ชันการทำงานตามความต้องการของธุรกิจได้ ด้วยความที่ Odoo เป็นซอฟต์แวร์ Open Sourc ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงโค้ดต้นฉบับและแก้ไขปรับแต่งเองได้
3. มีโมดูลหลากหลาย
Odoo Community มีโมดูลที่หลากหลายให้เลือกใช้งานตามความต้องการ เช่น การจัดการคลังสินค้า การขาย การจัดซื้อ บัญชีและการเงิน การตลาด และการบริหารทรัพยากรบุคคล เป็นต้น ทำให้ Odoo เป็นซอฟต์แวร์ที่ครอบคลุมการทำงานทุกด้านของธุรกิจได้อย่างครบถ้วน ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ ไม่จำเป็นต้องซื้อซอฟต์แวร์เพิ่มเติมสำหรับการจัดการงานต่าง ๆ
4. รองรับการขยายตัวของธุรกิจ
Odoo Community Edition สามารถขยายขนาดตามความต้องการของธุรกิจได้ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ เมื่อธุรกิจดำเนินไปไปแล้ว หากต้องการขยายตัวสามารถเพิ่มโมดูลใหม่ ๆ เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มเข้ามาได้ โดยไม่ต้องเปลี่ยนระบบทั้งหมด
5. โปร่งใส ตรวจสอบได้
Odoo Community สามารถใช้งานได้ไม่จำกัด User เพราะไม่ต้องมาคอยกังวลกับค่า License หรือ Subscription ที่ต้องจ่ายในราคาแพง ทำให้องค์กรไม่ต้องใช้ระบบแบบจำกัดผู้ใช้งาน หรือมีการแชร์ Account กัน การทำงานต่าง ๆ จึงสามารถตรวจสอบได้ว่าใครทำอะไรไปบ้าง หรือมีข้อผิดพลาดที่ตรงไหนจะได้แก้ไขได้ถูกจุด ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
6. ทำงานได้มีประสิทธิภาพไม่ต่างจาก Odoo Enterprise Edition
Odoo Community Edition มีฟีเจอร์พื้นฐานที่ครอบคลุมการทำงานของธุรกิจทั่วไป เช่น การจัดการคลังสินค้า การขาย จัดซื้อ บัญชีและการเงิน และการบริหารทรัพยากรบุคคล เป็นต้น โดยสามารถปรับแต่งและขยายระบบได้ด้วยตัวเองผ่านการเข้าถึงโค้ดต้นฉบับ มีโมดูลเสริมที่หลากหลาย ซึ่งสามารถตอบโจทย์การทำงานขององค์กรได้เกือบทั้งหมด แม้ไม่ได้เสียค่า Subscription ก็ตาม
7. Odoo OCA ชุมชนผู้พัฒนาที่คอยให้คำปรึกษา
Odoo Community มีชุมชนผู้พัฒนา หรือ OCA (Odoo Community Association) ทั้งในประเทศไทยและต่างต่างประเทศเพื่อสนับสนุนการใช้งาน มีการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์และเพิ่มศักยภาพของธุรกิจมากมาย พร้อมให้คำแนะนำและความช่วยเหลือเกี่ยวกับการใช้งาน Odoo สำหรับผู้ที่สนใจอย่างถูกต้องตามมาตรฐาน รวมไปถึงการทำ Thai Localization ให้เกิดขึ้นเป็นแนวทางและต่อยอดไปใช้งานเพื่อให้เหมาะกับธุรกิจของประเทศไทยมากที่สุด
8. มีการอัปเดตและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ด้วยการที่ Odoo Community เป็น Open Source ทำให้มีการพัฒนาและการอัปเดตต่าง ๆ จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการปรับปรุงและปรับเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ โดยนักพฒนาจากทั่วทุกมุมโลก เพื่อให้ฟีเจอร์การทำงานสามารถใช้งานได้สอดคล้องกับกระแสทิศทางของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน ทำให้ Odoo เป็นซอฟต์แวร์ที่ไม่ล้าหลัง ไม่จำเป็นต้องเลิกใช้งานเมื่อถึงจุดหนึ่ง
9. รองรับหลายภาษา
รองรับการใช้งานในหลายภาษา เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ สามารถขยายการให้บริการไปยังตลาดต่างประเทศได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้าออนไลน์ หรือการเปิดสำนักงานสาขาในต่างประเทศ ทำให้สามารถใช้งานได้ในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย อีกทั้งยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ที่ดี ทำให้ธุรกิจดูเป็นมืออาชีพและให้ความสำคัญกับลูกค้าในแต่ละประเทศ
10. สามารถเชื่อมต่อกับซอฟต์แวร์อื่นได้
สามารถเชื่อมต่อและทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์อื่น ๆ ได้อย่างง่ายดาย เช่น การเชื่อมต่อกับเว็บไซต์, ธนาคาร, Omni Channel หรือการรวมระบบกับ API ต่าง ๆ เป็นต้น นอกจากนี้ Odoo ยังมีฟีเจอร์การนำเข้าและส่งออกข้อมูลในรูปแบบไฟล์ CSV และ Excel ทำให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกับซอฟต์แวร์อื่นได้ ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว และเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างระบบต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และนี่เป็น 10 ข้อดีของ Odoo Community Edition ที่ผู้ใช้งานและนักพัฒนาจากทั่วทุกมุมโลกต่างเลือกใช้งาน
ข้อดีของ Odoo Community Edition